Thursday, July 16, 2009

ระวัง!!! ไวรัส"แฮรี่ พอตเตอร์"ฉกข้อมูล

รายงานข่าวล่าสุด แฮคเกอร์กำลังใช้กระแสภาพยนต์ที่ทั่วโลกรอคอยนั่นก็คือ Harry Potter: Half-Blood-Prince หลอกให้แฟนหนังดังเรื่องนี้หลงกลด้วยการดาวน์โหลด และติดตั้งมัลแวร์ที่สามารถขโมยข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อจากภายในเครื่อง คอมพิวเตอร์ที่ใช้งานได้อย่างง่ายดาย!!!

จากกระแสความแรงของพ่อมดน้อย"แฮรี่ พอตเตอร์" กับตอนล่าสุดทีมีชื่อว่า "Half-Blood-Prince" (เจ้าชายเลือดผสม) ทำให้แฮคเกอร์ลุกขึ้นมาปั้นเว็บไซต์ปลอมที่อ้างว่า มีลิงค์ที่พาคุณไปชมภาพยนต์เรื่องนี้ฟรี ("watch Harry Potter for free") และในสภาพเศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้ ใครล่ะไม่อยากประหยัดค่าใช้จ่าย (ก็ค่าตั่วหนังตั้ง 120 บาทแน่ะ)

ระวัง!!! ไวรัส



และ เพื่อให้ดูสมจริงยิ่งขึ้น ในบล็อกจะโพสต์ข้อความคอมเมนต์มากมายเกี่ยวกับภาพยนต์เรื่องนี้ ซึ่งจะมีลิงค์พาไปยังภาพตัวอย่างเต็มจอของหนังดังเรื่องนี้ พร้อมทั้งแจ้งให้ผู้ติดตั้ง "stremviewer" ซึ่งเพียงแค่คลิ้กเดียว คอมพิวเตอร์ของคุณก็จะได้รับการติดตั้งมัลแวร์เข้าไปมากมาย ในขณะที่คุณก็ยังต้องเสียค่าตั๋ว 120 บาท เพื่อไปดูที่โรงภาพยนต์อยู่ดี ความจริง การหลอกด้วยวิธีนี้ไม่ได้เป็นมุขใหม่เลย และก็ได้มีการแจ้งเตือนให้ทราบกันอยู่เสมอ แต่มันก็ยังใช้ได้อยู่เสมอ ในกรณีนี้แฮคเกอร์ยังเร่งกระแสด้วยการทำให้ลิงค์อันตรายนี้ติดเข้าไปในหน้า ผลลัพธ์ Google พร้อมทั้งใส่มันเข้าไปใน WEB 2.0 อย่าง Dig และ Reddit รวมถึงการปล่อยไฟล์ต่างๆ เข้าไปในเครือข่าย P2P (พวกโปรแกรมบิท)ด้วย

สำหรับวิธีป้องกันตัวเองที่ดีที่สุดก็ยังคงพูด เหมือนเดิมก็คือ อย่าเปิดไฟล์แนบจากอีเมล์ที่มาจากผู้ส่งที่ไม่รู้จัก หรือคลิ้กลิงค์ที่นำเสนอเรื่องราวไม่น่าเชื่อ (ควรตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน) รวมถึงหมั่นสแกนคอมพิวเตอร์ด้วยซอฟต์แวร์แอ นตี้ไวรัส และแอนตีสปายแวร์อยู่เสมอ และที่พลาดไม่ได้ก็คือ ติดตามข่าวสารจากเว็บไซต์เอ.เอาร์.ไอ.พี.เป็นประจำ (ข้อสุดท้ายนี้ ทางบ.ก.เว็บไซต์ฝากมา)



5 อาการติดเฟซบุ๊กของคนยุคดิจิตอล

รายงานข่าวชิ้นนี้ มาจากรายการตอนล่าสุดของ DailyBuzz ที่ออนไลน์ทาง Buzzidea.tv ซึ่งนอกจากจะมีการรายงานข่าวถึงกรณีสาวในสวิสเซอร์แลนด์ที่ถูกไล่ออกจากงาน เนื่องจากติดเฟซบุ๊ก (Facebook) แล้ว ยังมีการให้ข้อมูลถึงอาการติดเฟซบุ๊กของคนยุคนี้อีกด้วย

กระแสของโซเชียลเน็ตเวิร์กมาแรงไม่ หยุดฉุดไม่อยู่ เพราะคงปฏิเสธไม่ได้ว่า วันนี้นอกจากเครื่องมือสื่อสารอย่างมือถือที่จะทำให้ผู้คนยุคนี้ตามติดความ เคลื่อนไหวของเพื่อนฝูงได้แล้ว เว็บไซต์เครือข่ายสังคมอย่าง Hi5, MySpace, Facebook หรือ Twitter ก็เป็นเครื่องมืออีกตัวหนึ่งที่ทำให้ตัวเรา และเพื่อนๆ สามารถรับรู้ความเป็นไปได้อย่างใกล้ชิดตลอดเวลา



แต่ หากคุณใช้บริการพวกนี้มากเกินไป จนเกิดอาการ"ติด" (Facebook Addict) เรียกได้ว่า จะเช้าสายบ่ายเย็น เป็นต้องอัพ ต้องเม้นต์กันตลอดเวลา อันนี้น่าเป็นห่วงแล้วล่ะครับ แต่ก่อนที่จะถึงจุดนั้น น้องออย พิธีกรรายการ DailyBuzz มีคำแนะนำวิธีตรวจสอบตัวเองมาฝากคุณผู้อ่านในเว็บไซต์เอ.อาร์.ไอ.พี.ทุกท่าน ครับ ส่วนจะมีข้อสังเกตอะไรบ้างนั้น แนะนำให้ทุกท่านชมในรายการดีกว่าครับ


Chrome ก็แค่"โอเอส"ทางเลือกอีกตัวหนึ่ง

หลังจาก Google Chrome OS ประกาศแผนการเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็มีข่าวมากมายทั้งฝั่งสนับสนุน และตอบโต้ ซึ่งจากรายชื่อบริษัทผู้ผลิตพีซีที่เข้าร่วมโครงการ ไม่ปรากฎชื่อ Dell อยู่ในนั้น และแทบจะไม่มีการพูดถึงโอเอสตัวนี้ออกจากทางบริษัทเลย แต่เมื่อวันพุธที่ผ่านมา Dell ได้โพสต์ข้อความแสดงความเห็นไว้ในบล็อกว่า...

"Chrome OS ก็เป็นแค่ระบบปฏิบัติการอีกตัวหนึ่งท่ามกลางโอเอสลินุกซ์" ซึ่งเป็นมุมมองของ Dell ทีมีต่อโอเอสตัวนี้ "เช่นเดียวกับเทคโนโลยีใหม่ทั่วไป Dell มีแผนที่จะประเมิน Chrome OS และระบบปฏิบัติการลินุกซ์เบสอื่นๆ ทั่วไป เหมือนกับที่เราเคยทำมาในอดีต" Doug A ผู้โพสต์ข้อความดังกล่าวไว้ในบล็อก Drect2Dell ของบริษัท อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ลืมที่จะตบท้ายว่า "Dell มีความสัมพันธ์ที่ดีกับ Google"



แต่ในข้อความที่โพสต์ดูเหมือนว่า นอกจาก Ubuntu แล้ว Dell จะให้ความสนใจ Moblin สภาพแวดลล้อมการใช้งานโอเอสที่เป็นลินุกซ์เบสที่พัฒนาโดย Intel มากกว่า ทั้งนี้ Moblin ได้รับการยกย่องว่า เป็นอีกขั้นหนึ่งของการพัฒนาสภาพแวดล้อมการใช้โอเอสลินุกซ์ให้ง่ายยิ่งขึ้น โดยพุ่งเป้าไปที่อุปกรณ์ขนาดเล็กกว่า โดยเฉพาะระบบทีมีหน้าจอขนาดเล็ก ที่ สำคัญมันใช้งานง่ายมาก ผู้ใช้ Moblin จะไม่ต้องการคู่มือผู้ใช้แต่อย่างใด นอกจากนี้ Moblin ยังมีแอพฯบางตัวที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาทำงานแทนแอพพลิเคชันของลินุกซ์ มาตรฐานอีกด้วย อย่างเช่น มีเดีย เพลยเยอร์, บราวเซอร์ เป็นต้น

อย่าง ไรก็ดี Chrome OS ก็อยู่ในความสนใจของ Dell เหมือนกัน แต่ทางบริษัทมองว่า มันเป็นตัวเลือกที่ดีอีกตัวหนึ่งสำหรับเน็ตบุ๊กของ Dell เท่านั้น (ไม่ใช่โอเอสที่ต้องตื่นเต้นกันขนาดนั้น) เพราะกว่ามันจะออกวางตลาด ลูกค้าของ Dell ก็คงจะกำลังใช้เน็ตบุ๊กที่ทำงานด้วย Moblin Linux หรือไม่ก็ Ubuntu อย่างมีความสุขไปแล้ว



เกตส์แย้ม "Natal" ไม่ใช่แค่"ของเล่น"

ระยะหลังเรามักจะไม่ค่อยได้เห็นบิลเกตส์ออกมาแสดงวิสัยทัศน์ทางด้าน เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มากนัก ล่าสุดเมื่อวานนี้ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์พูดเป็นนัยๆ ถึงเทคโนโลยี"นาทาล" (Natal Project) ที่ใช้สำหรับเล่นกับ Xbox 360 ว่า ในอนาคตมันอาจจะใช้งานร่วมกับคอมพิวเตอร์ที่รันวินโดวส์ (Windows) ได้ด้วย!!!

ระดับบิลเกตส์แค่เพียงเผยความคิด ออกมานิดหน่อยก็กลายเป็นข่าวไปทั่วโลกแล้ว โดยเฉพาะเมื่อวานนี้ เกตส์ได้พูดออกมาเป็นนัยๆ ว่า เทคโนโลยีโปรเจกต์นาทาล หรืออุปกรณ์เพิ่มเติมแห่งอนาคต ที่สามารถตรวจจับ(ตำแหน่ง ทิศทาง และความเร็ว)ความเคลื่อนไหวของส่วนต่างๆ ทั้งร่างกาย และสิ่งของรอบๆ ตัวเราได้นั้น คาดว่าจะสามารถนำมาใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์บนโต๊ะ เพื่อตอบโจทย์การทำงานร่วมกัน รวมถึงการจัดการสื่อต่างๆ ภายในบ้านได้ด้วย อย่างไรก็ดี เกตส์ยังไมได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับแนวคิดดังกล่าวมากนัก คงมีเพียงแต่สิหน้าและท่าทางที่แสดงออกถึงความตื่นเต้นมากขณะที่พูดถึง เรื่องนี้



" ผมคิดว่า มันเป็นไอเดียที่บรรเจิดมาก เมื่อคุณอยู่ในบ้าน แล้วต้องการจัดการกับสื่อต่างๆ อย่างเช่น ภาพยนต์ เพลง และระบต่างๆ ที่เกียวข้อง มันเจ๋งมากๆ" เขากล่าว "และผมคิดว่า มัน(เทคโนโลยีนาทาล)จะทำให้การทำงานร่วมกันด้วยคอมพิวเตอร์ที่รันวินโดวส์ใน สำนักงานกลายเป็นเรื่องมหัศจรรย์" เกตส์ยังบอกถึงความเป็นไปได้ในการนำโปรเจกต์นาทาลมาใช้กับวินโดวส์ว่า "ขอเวลาอีกแค่หนึ่งปีนิดๆ ก็พอ"

การเพิ่มเทคโนโลยีนาทาลเข้าไปใน วินโดวส์ หมายถึง ความพยายามของไมโครซอฟท์ที่จะเปลี่ยนจากอุปกรณ์ และวิธีการอินพุทแบบเดิมๆ บนคอมพิวเตอร์ ในขณะที่แอปเปิ้ล (Apple) ได้ลงมือเปลี่ยนแปลงไปก่อนหน้านี้แล้ว ด้วยการทำ"แทร็คแพด แบบหลายสัมผัส" (multi-touch trackpad) ใน Mac OS X ส่วนไมโครซอฟท์เพิ่งจะเพิ่มอินพุตระบบจอแสดงผลหลายสัมผัส (multi-touch display) เข้าไปเป็นทางเลือกสำหรับอินเตอร์เฟซของ Windows 7 โดยระบบปฏิบัติการจะสามารถรู้จำท่าทางการสัมผัสในรูปแบบต่างๆ กับแอพพลิเคชันทุกตัว และมีเครื่องมือในการพัฒนาโปรแกรมให้สามารถรองรับคุณสมบัติการใช้งานผ่านการ สัมผัสหน้าจอได้อีกด้วย



Google กำไร!!! แต่ยอดโฆษณาตก?

รายงานข่าวจากสำนักข่าวบีบีซีนิวส์ระบุว่า กูเกิ้ล (Google) บริษัทเสิร์ชเอ็นจิ้นยักษ์ใหญ่ยังคงสามารถทำกำได้ในไตรมาสที่สองของปี แม้การเติบโตของรายได้จะช้าลงภายใต้สภาพเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีเกินความคาดหมายของบริษัทที่ตั้งไว้ก่อนหน้านี้

สำหรับกำไรของกูเกิ้ลในช่วงไตรมาส (จนถึง 30 มิถุนายน) ที่ผ่านมา ขึ้นไปแตะถึง 1.48 พันล้านเหรียญฯ เทียบกับช่วงเดียวกันเมื่อปีที่แล้วกูเกิ้ลทำกำไรได้ 1.25 พันล้านเหรียญฯ (โตประมาณ 19%) ส่วนรายได้ในช่วงเดียวกันเติบโต 3% โดยทำได้ที่ 5.52 พันล้านเหรียญฯ ทั้งนี้รายได้มากกว่าครึ่งหนึ่ง (53%) มาจากนอกสหรัฐฯ



เอริค ชมิดท์ ซีอีโอของกูเกิ้ลกล่าวว่า "ผลลัพธ์ของความสำเร็จนี้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของโมเดลธุรกิจ และความรับผิดชอบในความพยายามจัดการเรื่องค่าใช้จ่าย" นั่นหมายความว่า กูเกิ้ลยังคงรักษาประสิทธิภาพของการทำกำไรของธุรกิจได้ในขณะที่ยังคงควบคุม ต้นทุนได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ในส่วนของมูลค่าของกูเกิ้ลขยับขึ้นเป็น 5.36 เหรียญฯต่อหุ้น ซึ่งดีกว่าที่คาดไว้เดิมคือ 5.08 เหรียญฯต่อหุ้น

" ผลลัพธ์ของความสำเร็จดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า กูเกิ้ลเป็นบริษัทโฆษณาออนไลน์ที่ดีที่สุด และเป็นอะไรทีต้องลงทุนด้วย" นักวิเคราะห์การเงิน กล่าว อย่างไรก็ตาม หากวิเคราะห์ในแง่ของความสำเร็จของรายได้และกำไรที่เกิดขึ้นจากบริการของกู เกิ้ล ค่าโฆษณาตามคลิ้ก (Adwords, AdSense) ที่ได้จากทางบริษัทเอง และคู่ค้า รวมมีมูลค่าการเติบโตกว่าเดิม 15% ในทุกๆ ปี แต่สำหรับปีนี้ในไตรมาสแรกตกลงไป 2% ซึ่งต้องไม่ลืมว่า รายได้กว่า 95% ของบริษัทมาจากโฆษณา



Twitter โดนแฮค!!! แล้วคุณล่ะ?

รายงานข่าวที่ได้รับความสนใจในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาเห็นจะหนีไม่พ้น ประเด็นที่ ทวิตเตอร์ (Twitter) โดนแฮค ซึ่งสาเหตุเกิดจากการที่พนักงานของบริษัทเลือกใช้พาสเวิร์ดที่ง่ายเกินไป ทำให้แฮคเกอร์สามารถล้วงคองูเห่า เข้าไปเจาะข้อมูลได้แม้กระทั่งบัญขีผู้ใช้ Gmail ของภรรยาซีอีโอกันเลยทีเดียว!!!

บทเรียนครั้งใหญ่ที่มีสาเหตุมาจาก ความประมาทในเรื่องเดิมๆ นั่นก็คือ "การตั้งพาสเวิร์ด" ที่ไม่แข็งแรง โดยล่าสุด แฮคเกอร์นามว่า "Hacker Croll" สามารถเจาะเข้าไปในระบบ ผ่านทางอีเมล์ และทวิตเตอร์ของพนักงานหลายๆ คนได้ด้วยการเดาพาสเวิร์ด ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่น่าเศร้าที่สุด โดยแฮคเกอร์สามารถใช้คุณสมบัติการร้องขอพาสเวิร์ดจากเว็บไซต์ขึ้นมา เพื่อนำไปใช้ในการขโมยพาสเวิร์ดของผู้ใช้คนอื่นๆ ออกไป

ทั้งนี้ข้อมูล ลับของทางบริษัทที่ถูกขโมยออกไปก็จะมีข้อมูลเกี่ยวกับการประชุมต่างๆ ข้อมูลพนักงาน ผังที่นั่ง หมายเลขโทรศัพท์ และหมายเลขบัตรเครดิต โดยข้อมูลดังกล่าวถูกส่งไปให้กับบล็อกดังอย่าง TechCrunch เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาอีกด้วย จากกรณีทีเกิดขึ้นทำให้หลายคนเริ่มกังวลเกียวกับการที่นำข้อมูลสำคัญไปเก็บ ไว้ในบริการออนไลน์ อย่างเช่น Gmail และ Google Apps ซึ่งข้อมูลสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่มีชื่อบัญชีผู้ใช้ และพาสเวิร์ดเท่านั้น ในขณะที่มันให้ความสะดวก แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงมิใช่น้อย



"เราไม่ทราบว่า แฮคเกอร์ได้พาสเวิร์ดในการใช้ Google Apps ของพนักงานของเราได้อย่างไร ซึ่งบริการดังกล่าว Twitter ใช้ในการแชร์เอกสารระหว่างพนักงานด้วยกันเอง" Biz Stone ผู้ร่วมก่อตั้ง Twitter โพสต์ข้อความไว้ในบล็อก มันดูเหมือนว่า แฮคเกอร์เริ่มต้นด้วยการเจาะบัญชีผู้ใช้อีเมล์ของพนักงานได้ก่อน จากนั้นจึงได้ข้อมูลล็อกอินสำหรับเข้าไปใน Google Apps นั่นหมายความว่า ระบบได้เก็บอีเมล์เก่าที่แจ้งพาสเวิร์ดในการเข้าใช้บริการ Google Apps ไว้ หรือไม่ก็ใช้วิธีขอให้พาสเวิร์ดส่งกลับมาให้ผ่านทางอีเมล์ อย่างไรก้ตาม Google ปฎิเสธที่จะให้คอมเมนต์ต่อกรณีของ Twitter

แม้ จุดอ่อนของระบบการใช้ออนไลน์จะอยู่ที่พาสเวิร์ด แต่ Google ก็ได้ช่วยบริษัทต่างๆ ที่ใช้บริการด้วยการแสดงความแข็งแรงของพาสเวิร์ดที่ตั้งในลักษณะกราฟแท่งที่ จะบอกว่า พาสเวิร์ดของผู้ใช้มีความแข็งแรงพอ หรือยัง? อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ธุรกิจสามารถใช้พาสเวิร์ดแบบครั้งเดียว เพื่อความปลอดภัยอย่างเช่น ระบบสมาร์ทการ์ด และการสแกนนิ้วมือ เป็นต้น ซึ่ง twitter อาจจะใช้วิธีเหล่านี้แทนการจำพาสเวิร์ดตามปกติ

และบท เรียนของ Twitter ทำให้เราต้องมาทบทวนกันอีกครั้ง สำหรับขั้นตอนของการตั้งพาสเวิร์ด เพื่อความปลอดภัยในการใช้บริการออนไลน์ ซึ่งมีดังนี้

หวัง ว่า บทเรียนของ Twitter จะได้ทำให้ผู้ใช้หลายๆ คนได้ตระหนักถึงความปลอดภัยในการใช้บริการออนไลน์มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของรหัสผ่านที่มักจะเป็นจุดอ่อนของผุ้ใช้หลายๆ คน...เราเตือนท่านแล้ว


เตือน!!!แฮคเกอร์เจาะมือถือวินโดวส์

รายงานข่าวล่าสุดจากเว็บไซต์ Intomobile เตือนว่า ผู้ใช้สมาร์ทโฟน โดยเฉพาะของ HTC ซึ่งรันวินโดวส์โมบาย (Windows Mobile) เวอร์ชัน 6.0 หรือ 6.1 ไม่ควรรับการเชื่อมต่อผ่านทางบลูทูธจากผู้ส่งที่ไม่รู้จัก หรือไว้ใจได้ เพราะมือถือของคุณอาจจะโดนแฮคข้อมูลโดยไม่รู้ตัว

ประเด็นคือ มือถือ HTC หลายรุ่นจะใช้ไดรเวอร์ที่สามารถแฮคได้ ไม่ว่าจะเป็น Touch Diamond, Touch Pro, Touch Cruise, Touch Find, S710 และ S740 โดยช่องโหว่ดังกล่าวจะอยู่ที่ไฟล์ไดรเวอร์ "obexfile.dll" ที่สามารถเจาะเข้าไปในระบบผ่านทางการเชื่อมต่อบริการ OBEX FTP Service ด้วยบลูทูธ (Bluetooth) ข้อมูลดังกล่าวได้ถูกเปิดเผยโดย Alberto Moreno ซึ่งเขาสรุปว่า มือถือวินโดวส์โมบายของ HTC ที่เปิดบริการแชร์ไฟล์ผ่านบลูทูธจะตกอยู่ในความเสี่ยง โดยเฉพาะหากไม่มีการตั้งค่าให้ผู้ใช้กดยอมรับการเชื่อมต่อก่อน



วิธี ป้องกันสำหรับผู้ใช้มือถือรุ่นดังกล่าว นอกจากการไม่รับการเชื่อมต่อบลูทูธจากแหล่งผู้ส่งที่ไม่รู้จัก หรือไว้ใจได้แล้ว ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ยกเลิกการใช้บริการแชร์ไฟล์ผ่านบลูทูธ นอกจากนี้ คุณอาจจะต้องลบอุปกรณ์ที่ได้จับคู่ (paired) ไว้ก่อนหน้านี้ด้วย เนื่องจากแฮคเกอร์สามารถแฝงตัวมาในชื่อเหล่านั้น เพื่อให้ผู้รับไว้ใจ และเปิดโอกาสให้แฮคเกอร์เข้าถึงระบบภายในมือถือผ่านไดรเวอร์เจ้าปัญหาดัง กล่าวได้ งานนี้คงต้องคอยติดตามการอัพเดตไดรเวอร์บลูทูธตัวใหม่ที่มีการอุดช่องโหว่ ดังกล่าว


Microsoft Office 2010 เวอร์ชันฟรี?

เว็บไซต์ซีเน็ตรายงานว่า ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ไม่ยอมให้กูเกิ้ล (Google) จับลูกค้าด้วยการเป็นผู้ให้บริการฟรีสำหรับเครื่องมือออนไลน์กับผู้ใช้เพียง ฝ่ายเดียว ล่าสุดทางบริษัทประกาศว่า มีแผนที่จะแนะนำชุดซอฟต์แวร์ไมโครซอฟท์ออฟฟิศเวอร์ชันออนไลน์ให้ผู้ใช้ทั่ว โลกได้ใช้กันฟรีๆ บ้างเหมือนกัน

Office Web เป็นชื่อเรียกบริการแอพพลิเคชันออนไลน์ที่เป็นส่วนหนึ่งของ Microsoft Office 2010 ที่กำลังจะวางตลาดในช่วงกลางปีหน้า "มันจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้ในการที่จะมีโอกาสได้ลองสัมผัสกับ แอพพลิเคชันเหล่านี้" Chis Capossela รองประธานอาวุโสฝ่ายหน่วยธุรกิจของไมโครซอฟท์ กล่าว



สำหรับ เวอร์ชันฟรีที่ให้บริการผ่านออนไลน์จะประกอบด้วยแอพพลิเคชันอย่างเช่น Word, Excel, PowerPoint และ OneNote โดยทั้งหมดจะให้บริการผ่านทางเว็บไซต์ Windows Live ภายในบราวเซอร์ของผู้ใช้ ซึ่งการเคลื่อนไหวครั้งนี้ของไมโครซอฟท์เป็นการป้องกันคู่แข่งอย่างกู เกิ้ล รวมถึง Lotus Symphony ของ IBM ที่เป็นโอเพ่นซอร์ส และ StarOffice ของ Sun

Capossela ไม่ เชื่อว่า Office Web จะกินตลาดกันเอง (cannibalize) กับ Office ที่ทำงานบนเดสก์ทอป ซึ่งยอดขายตกลงไป 30% เมื่อช่วงไตรมาสทีผ่านมา "เราไม่ได้ทำให้เว็บแอพฯซ้ำซ้อนกับไคลเอ็นต์แอพฯบนเดสก์ทอป" Capossela กล่าว "เราพยายามทำให้เว็บแอพฯสามารถทำงานได้ดีที่สุดในสภาพแวดล้อมของมัน" ตัวอย่างเช่น PowerPoint บน Office Web จะไม่มีเครื่องมือแก้ไขวิดีโอเช่นเดียวกับเวอร์ชันบนเดสก์ทอป "ถ้าคุณใช้ Office บนพีซี คุณก็จะได้ใช้งานเต็มประสิทธิภาพ" Capossela กล่าว ในขณะเดียวกัน เว็บแอพฯจะมีคุณสมบัติการทำงานบางอย่างที่จะไม่พบในเวอร์ชันเดสก์ทอปด้วย เช่นกัน อย่างเช่น ความสามารถในการฝังแท็กเข้าไปในเอกสารต่างๆ และโพสต์คอนเท็นต์ในเอกสารขึ้นบล็อก

เนื่องจากไมโครซอฟท์มีลูกค้าที่ ใช้ออฟฟิศทั่วโลกประมาณ 90 ล้านคน ในขณะที่มีผู้ใช้ Windows Live อีกประมาณ 400 ล้านคน "นั่นหมายความว่า เราจะมีผู้ใช้เกือบห้าร้อยล้านคนที่จะได้ใช้ Office Web ทันทีที่มันเปิดตัว" Capossela กล่าว


ด่วน!!!พบช่องโหว่ ActiveX ใน Office

รายงานข่าวจากเว็บไซต์พีซีแม็กระบุว่า ไมโครซอฟท์แจ้งเตือนผู้ใช้เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาเกี่ยวกับกรณีผู้บุกรุก กำลังใช้ช่องโหว่ร้ายแรงของ ActiveX ใน Microsoft Office เพื่อเข้าควบคุมการทำงานของพีซีที่ตกเป็นเหยื่อ โดยหลอกผู้ใช้บราวเซอร์ Internet Explorer ให้เข้าไปยังเว็บไซต์อันตราย

สำหรับการโจมตีด้วยช่องโหว่ที่ไม่ มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้านี้จะอยู่ในส่วนของ ActiveX Control ที่จัดการเรื่อง Web Component ในโปรแกรม Office ซึ่งใช้ในการแสดงผล และเผยแพร่สเปรดชีต ผังชาร์ท และฐานข้อมูลขึ้นไปบนเว็บ โดยข้อผิดพลาดดังกล่าวจะพบได้ใน Office XP, Office 2003, Internet Security และ Acceleration Server 2004 และ 2006 รวมถึง Office Small Business Accounting 2006



ในส่วนของขั้นตอนการปฏิบัติ เพื่อป้องกันการโจมตีสามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดได้ใน Microsoft Security Advisory หรือผู้ใช้ทั่วไปจะใช้เครื่องมือ Fix-It ของไมโครซอฟท์ เพื่อให้ช่วยจัดการให้โดยอัตโนมัติก็ได้ ทั้งนี้ทางไมโครซอฟท์กล่าวว่า ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการจัดทำอัพเดตระบบรักษาความปลอดภัย เพื่ออุดช่องโหว่ดังกล่าว

ทางด้านบริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัส Sophos ได้โพสต์ไว้ในบล็อกว่า มีรายงานแจ้งเกียวกับเว็บไซต์หลายแห่ง ซึี่งส่วนใหญ่อยู่ในจีนที่กำลังใช้ช่องโหว่ดังกล่าว โดยผู้ใช้ IE 7 หรือ 8 ที่เข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์เหล่านี้ จะปรากฎไดอะล็อกบ๊อกซ์สอบถามผู้ใช้ว่า ต้องการติดตั้งองค์ประกอบซอฟต์แวร์ดังกล่าว หรือไม่? ให้ผู้ใช้เลือกตอบ No เพราะมันคือ โค้ดอันตรายที่ผู้ไม่หวังดีจะติดตั้งเข้าไปในระบบ เพื่อควบคุมการทำงานของพีซีของคุณผ่านทางอินเทอร์เน็ตนั่นเอง


Resident Evil 4 เวอร์ชันบน iPhone?

เว็บไซต์ AppBank ในญี่ปุ่นได้เปิดเผยคลิปวิดีโอสาธิตการเล่นเกมส์ Resident Evil 4 เวอร์ชันบน iPhone และ iPod Touch ซึ่งดาวน์โหลดก็อปปี้มาจากใน iTunes Store แต่หลังจากมันถูกดึงออกไปจากทางร้านโดยไม่ทราบสาเหตุ เข้าใจว่า มันหลุดออกมาก่อนกำหนด อย่างไรก็ตาม ทางเว็บไซต์ได้จัดทำคลิปสาธิตการเล่น และเก็บภาพบางส่วนมายั่วน้ำลายคอเกมส์ยิงไว้ด้วย


ในส่วนของเกมดูเหมืนอจะใช้เวอร์ชันเกมยิง 3D ของ Capcom ซึ่งถูกใช้ใน Resident Evil: Degeneration ด้วย อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีใครทราบเหมือนกันว่า Resident Evil 4 บน iPhone จะถูกนำมากลับมาวางใน iTunes Store ที่ญ๊่ปุ่นอีกหรือเปล่า? และเมื่อไรมันจะวางตลาดในสหรัฐ ตอนนี้เอาเป็นว่า ดูตัวอย่างของความมันส์ไปก่อนก็แล้วกัน


เครื่องพิมพ์ต่อเน็ตไร้สายโผล่อีกแบรนด์!!!

หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้รายงานข่าวผลิตภัณฑ์เป็นเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ต จากบริษัท HP ที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต สามารถดาวน์โหลดภาพระบายสี ภาพถ่ายออนไลน์ ฯลฯ จากเว็บไซต์ เพื่อพิมพ์ออกมาได้โดยตรง (ไม่ผ่านพีซี) ล่าสุดผู้ผลิตพรินเตอร์อย่าง Lexmark กำลังจะออกเครื่องพิมพ์ที่มีฟังก์ชันแบบเดียวกันนี้ตามมาติดๆ


Lexmark ประกาศว่า ภายในปีนี้ทางบริษัทจะออกเครื่องพิมพ์ 3 รุ่นที่สามารถเชื่อมต่อการทำงานกับเว็บไซต์ได้โดยตรง สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการเชื่อมต่อเน็ตขณะสั่งพิมพ์สิ่งที่ต้องการได้ โดยไม่ต้องเปิดคอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตาม แนวทางของ Lexmakr ไม่เหมือนกับ HP เสียทีเดียว โดยแทนที่ตัวเครื่องจะมีลักษณะเป็นหน้าจอแอพพลิเคชัน Lexmark เชื่อว่า ผู้ใช้สนใจอยากอ่านข่าว เมื่ออยู่หน้าเครื่องพิมพ์มากกว่าทำอย่างอื่น (เช่น พิมพ์ภาพถ่ายจากเน็ต แผ่นเกมซูโดกุ หรือแบบภาพระบายสี) อย่างไรก็ตาม ในส่วนของความสามารถในการพิมพ์ภาพถ่าย ทาง Lexmark ได้ร่วมมือกับ Photobucket สามารถดาวน์โหลดภาพถ่ายจากทางเว็บไซต์โดยตรงมายังเครื่อง เพื่อแสดงผลและพิมพ์ภาพถ่ายออกมาได้ทันที

ดังนั้นเครื่องพิมพ์ Lexmark ที่เชื่อมต่อกับเว็บได้จึงมาพร้อมกับความสามารถในการอ่านฟีด RSS เพื่อพิมพ์ข่าวล่าสุด หรือรายงานพยากรณ์อากาศประจำวันที่ต้องการอ่าน โดยอินเตอร์เฟซจะใช้หน้าจอสัมผัสขนาด 4.3 นิ้วที่ประกอบด้วยไอคอนใช้งานฟังก์ชันพื้นฐานที่เรียบง่ายตั้งแต่ สำเนา (copy) สแกน (scan) แฟกซ์ (Fax) และคุณสมบัติการทำงานพิเศษทีเรียกว่า Smart Solutions ตัวเครื่องพิมพ์จะเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi และมีโหมดสแกนนามบัตร เพื่ออัพโหลดเข้าไปใน Outlook, Windows CE หรือ Palm OSTM ได้ คาดว่าจะวางตลาดได้ในช่วงเดือนกันยายน โดยสนนราคาอยู่ที่ 200 - 400 เหรียญฯ (ประมาณ 7,200 - 14,500 บาท)


เน็ตบุ๊กโตสองเท่าโน้ตบุ๊กส่อเค้านิ่ง

รายงานข่าวล่าสุดระบุว่า อินเทล (Intel) ดูท่าจะมีความหวังมากขึ้นที่จะได้ตลาดขนาดใหญ่พอสำหรับซีพียูอะตอม (Atom) เมื่อบริษัทวิจัยยักษ์ใหญ่เผยผลสำรวจออกมาว่า ในขณะที่ยอดขายของโน้ตบุ๊กไม่มีการเติบโต เน็ตบุ๊กอาจจะสามารถทำยอดได้มากถึงสองเท่าภายในปีนี้

Displysearch คาดว่ายอดจำหน่ายมินิโน้ตบุ๊กและเน็ตบุ๊กในปี 2009 จะขยับขึ้นไปสูงถึง 33 ล้านเครื่อง โดยขยายตัวเข้าไปในตลาดโน้ตบุ๊กคิดเป็นตัวเลข 20% ของทั้งหมด อย่างไรก็ดี เนื่องจากอินเทลจะได้กำไรจากซีพียูที่ไปกับโน้ตบุ๊กมากกว่าเน็ตบุ๊กที่ใช้ อะตอม ทางบริษัทจึงเกรงว่า ซีพียูอะตอม(ที่ทำกำไรน้อยกว่า)จะกินตลาดซีพียูสำหรับ โน้ตบุ๊ก ทั้งนี้ผลสำรวจยังทำให้เห็นแนวโน้มว่า ตลาดโน้ตบุ๊กที่มีจอขนาดตั้งแต่ 12.1 นิ้วขึ้นไปจะไม่มีการเติบโตในช่วงปีสองปีนี้



สำหรับ ประเทศที่มีอัตราการเติบโตมากที่สุดของเน็ตบุ๊กจะอยู่ในแถบละตินอเมริกา โดยมีตัวเลขสูงถึง 26% ตามมาด้วยประเทศใแถบยุโรป 22% ในขณะที่กลุ่มประเทศทีมีอัตราการเติบโตของเน็ตบุ๊กค่อนข้างต่ำจะเป็นเอเซีย แปซิฟิก อเมริกาเหนือ และจีน โดยเหตุผลสำคัญที่ทำให้เน็ตบุ๊กประสบความสำเร็จก็คือ การที่ผู้ให้บริการทางด้านโทรคมนาคมได้ซื้อเน็ตบุ๊ก เพื่อให้กับลูกค้าที่ใช้บริการในระยะยาว

อย่าง ไรก็ตาม เหตุผลสำคัญทีทำให้ยอดขายโน้ตบุ๊กตกลงไม่ใช่เกิดจากเน็ตบุ๊กเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นผลจากการที่ลูกค้าองค์กรลดการสั่งซื้อโน้ตบุ๊กไปใช้ เนื่องด้วยเศรษฐกิจที่มีปัญหาด้วย Displaysearch เชื่อว่า การออกผลิตภัณฑ์ Windows 7 และสภาพเศรษฐกิจที่ได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้นจะทำให้ความต้องการโน้ตบุ๊กของ เหล่าบริษัทห้างร้านกลับมา โดยคาดว่าน่าจะเกิดขึ้นได้ในปี 2010

John Jacobs ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยตลาดโน้ตบุ๊กของ Displaysearch กล่าวว่า "มันชัดเจนว่า ผู้ซื้อต้องการเครื่องที่มีความเบา แต่ก็ต้องการจอที่มีขนาดใหญ่ด้วย ในขณะที่ตลาดมีโน้ตบุ๊กที่ตอบความต้องการนี้แล้ว แต่จากการสำรวจพบว่า ลูกค้าต้องการพีซีเครื่องที่สอง(ที่มีราคาถูก) และไม่ต้องการเปลี่ยนโน้ตบุ๊ก"


"แอปเปิ้ล-แท็บเล็ต"แก็ดเจ็ตปริศนา

ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวออกมามากมายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ของแอปเปิ้ล (Apple) ที่ทำท่าว่าจะเปิดตัวในช่วงเดือนตุลาคม โดยหลายฝ่ายมีการคาดกันว่า มันน่าจะเป็นอุปกรณ์ประมาณ"แท็บเล็ต"หรือไม่ก็"เน็ตบุ๊ก" สำหรับข่าวที่ว่านี้หลุดมาจากจีนที่ซึ่งแอปเปิ้ลใช้เป็นฐานการผลิตฮาร์ดแวร์ ของทางบริษัท


ในส่วนของข่าวลือดังกล่าวถูกเปิดเผยออกมาโดยเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ China Times ที่ระบุว่า แเอปเปิ้ลกำลังอยู่ในระหว่างการผลิตอุปกรณ์ที่คาดว่าอาจจะเป็นแท็บเล็ต โดยมีกำหนดการวางตลาดในช่วงเดือนตุลาคม ศกนี้ ซึ่งดูจากฟีดแบ็ค น่าจะเป็นผลิตภัณฑ์อีกตัวหนึ่งที่ได้รับการตอบรับจากเหล่าสาวกแอปเปิ้ลพอ สมควร

ราย ละเอียดของข้อมูลดังกล่าวถูกแปลใน MacRumors Forum โดยเปิดเผยถึง 3 บริษัทในจีนที่ได้รับคำสั่งให้ผลิตอุปกรณ์ดังกล่าว ซึ่งได้แก่ Foxconn, Wintek และ Dynapack ทั้งนี้ในรายละเอียดยังบอกอีกว่า แก็ดเจ็ตปริศนาจะไม่ส่งผลกระทบกับตลาดเน็ตบุ๊กที่กำลังไปได้ดีอยู่ในขณะนี้ เนื่องจากทางแอปเปิ้ลตั้งราคาของแก็ดเจ็ตชิ้นนี้ไว้ที่ 800 เหรียญฯ (ประมาณ 29,000 บาท) ข้อมูลนี้ก็ตรงกับที่แอปเปิ้ลเคยเปรยไว้ว่า ทางบริษัทไม่สามารถทำคอมพิวเตอร์ที่มีราคาต่ำกว่า 500 เหรียญฯ แล้วใช้งานได้อย่างคุ้มค่า อย่างไรก็ตาม ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับแท็บเล็ตยังไม่ชัดเจนว่า มันจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะทราบแต่เพียงว่า มันมีหน้าจอสัมผัส 9.7 นิ้ว และไม่มีคีย์บอร์ด แม้จะยังเป็นแค่ข่าว แต่ดูจากกระแสความสนใจแก็ดเจ็ตชิ้นนี้ดูจะไม่ธรรมดาเอาซะเลย


ตะลึง!!! รัน Windows 95 บน iPhone

สำหรับใครที่ชื่นชอบการแฮค หรือการจำลองการทำงานของระบบผ่านซอฟต์แวร์อีมูเลเตอร์อาจจะสนใจการทดลองที่ นำมาฝากกันในวันนี้ ซึ่งเป็นผลงานของทีม iSoft ที่พวกเขาได้ลองนำระบบปฏิบัติการเมื่อสิบกกว่าปีที่แล้วอย่าง Windows 95 มารันบน iPhone ดูว่า ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร?



สำหรับขั้นตอนการแฮค ทีม iSoft เปิดเผยว่า พวกเขาใช้ภาพจากหน้าจอการทำงานของระบบปฏิบัติการ Windows 95 และ Bochs emulator ซอฟต์แวร์จำลองการทำงาน เพื่อทำให้ระบบปฏิบัติการเก่าแก่ตัวนี้ สามารถเข้าไปลอยนวลอยู่ใน iPhone โดยจะตอบรับการใช้งานผ่านหน้าจอระบบสัมผัสของ iPhone ได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพการทำงานของมันอาจจะอึดๆ ไปสักนิด แต่ก็ต้องขอปรบมือให้กับความพยายามของทีมงานที่ทำให้เราได้เห็นภาพแปลกๆ อย่างนี้



จอบส์มั่นใจ App Store ไร้เงาคู่แข่ง

รายงานข่าวล่าสุด แอพสโตร์ (App Store) ของแอปเปิ้ล (Apple) มียอดดาวน์โหลดแอพฯ สหรับไอโฟน (iPhone) และไอพอด ทัช (iPod Touch) ทะลุ 1.5 พันล้านครั้งไปแล้ว โดยมีแอพพลิเคชันไว้ให้บริการมากกว่า 65,000 ตัว ซึ่งทิ้งคู่แข่งอย่าง Google, Nokia, Research In Motion (BlackBerry) และ Microsoft แบบไม่เห็นฝุ่นกันเลยทีเดียว

แอพสโตร์ของแอปเปิ้ล สามารถทำยอดดาวน์โหลดแอพพลิเคชันบนมือถือยอดฮิตอย่างไอโฟน และเครื่องเล่นมีเดียอย่างไอพอดทัช ได้มากกว่า 1.5 พันล้านครั้งภายในหนึ่งปี โดยความลับของความสำเร็จก็คือ การที่โปรแกรมสามารถดาวน์โหลดผ่านอากาศ (over-the-air) เข้าไปติดตั้งยังมือถือของผู้ใช้ได้โดยตรง และแพลตฟอร์มของการพัฒนาแอพฯบนมือถือที่แม้กระทั่งเด็กมัธยมก็ยังสามารถ พัฒนาได้



ทาง แอปเปิ้ลกล่าวว่า ปัจจุบันทางร้านมีจำนวนแอพฯให้ดาวน์โหลดมากกว่า 65,000 ตัว ในขณะที่มีนักพัฒนาคอนเท็นต์มากกว่า 10,000 รายที่ใช้โปรแกรมพัฒนาแอพฯบนไอโฟนของตน ซึ่งทำให้ทางร้านมีโปรแกรมต่างๆ มากมาย ตังแต่แอพฯสนุกๆ อย่างเบียร์ปลอม (Fake Beer) ที่ดื่มผ่านไอโฟนได้ไปจนถึงโปรแกรมการใช้งานในระดับองค์กรภาคธุรกิจอย่าง Oracle และ Saleforce

ประกอบกับการที่มีฮาร์ดแวร์มากมายกว่า 1,000 รายการที่สามารถต่อเข้ากับไอโฟนได้ ทั้งนี้เฟิร์มแวร์ล่าสุดยังเปิดโอกาศให้สามารถพัฒนาแอพพลิเคชันทีมีขีดความ สามารถมากกว่าเดิมได้อีกด้วย นอกจากนี้ เฟิร์มแวร์ 3.0 ของไอโฟนยังมาพร้อมกับโมเดลธุรกิจใหม่สำหรับนักพัฒนา เนื่องจากมันเปิดโอกาสให้มีการสั่งซื้อสินค้าจากภายในแอพฯได้ รวมถึงการพัฒนาแอพฯให้ทำงานกับฮาร์ดแวร์ที่เป็นอุปกรณ์เสริมโดยเฉพาะของตน ได้อีกด้วย

" ไม่น่าจะมีอะไรในอุตสาหกรรมนี้ที่เทียบได้กับแอพสโตร์ทั้งในแง่ของขนาด และคุณภาพ" สตีฟ จอบส์ ซีอีโอของแอปเปิ้ลกล่าว "จากการที่มีการดาวน์โหลดแอพฯ มากกว่า 1.5 พันล้านครั้ง มันจะทำให้เป็นการยากมากที่ใคร(ในอุตสาหกรรมนี้)จะตามได้ทัน" และผลจากความสำเร็จของแอพสโตร์ทำให้คู่แข่งมือถือของแอปเปิ้ลต่างเปิดบริการ ของตนเอง เพื่อให้บริการลูกค้าได้สืบค้น ซื้อขาย ดาวน์โหลด และติดตั้งแอพฯ ผ่านอากาศได้เช่นเดียกวัน แม้ัมันจะเป็นการยากที่จะตามทัน แต่คู่แข่งต่างก็มีวิธีในการช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดที่แตกต่างกันไปตามความนิยม ของลูกค้าในมือถือแพลตฟอร์มนั้นๆ

กูเกิ้ลกล่าวว่า ตลาดของแอนดรอยด์จะมีลักษณะที่เปิดมากกว่าแอพสโตร์ของแอปเปิ้ล ซึ่งต้องการมีการผ่านกระบวนการตรวจสอบของแอปเปิ้ล ในขณะที่โนเกียจะชูแอพฯที่รวมเอาโซเชียลเน็ตเวิร์กกิ้ง และ GPS ตามคอนเซปต์ "Connecting People"ที่จะให้ประสบการณ์ในการใช้แอพฯที่เหนือกว่า ส่วนทางด้านไมโครซอฟท์ก็จะมี Windows Marketplace for Mobile ซึ่งจะเปิดให้บริการในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้


MS ขำกลิ้งเรื่อง Google Chrome OS

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา สตีฟ บอลเมอร์ (Steve Ballmer) ซีอีโอของไมโครซอฟท์ (Microsoft) หัวเราะร่วนเมื่อได้ยินคำถามเกี่ยวกับการท้าทายของกูเกิ้ล (Google) ที่มีแผนพัฒนาระบบปฏิบัติการ Google Chrome OS ออกมา ก่อนที่จะยอมรับว่า "มันก็เป็นเรื่องน่าสนใจ"

"เอาเป็นว่า ผมรู้สึกยกย่อง(กับความคิดนี้)ก็แล้วกัน" สตีฟ บอลเมอร์ ซีอีโอของไมโครซอฟท์กล่าวพร้อมทั้งหัวเราะร่วนกลางงานประชุมพันธมิตรด้าน เทคโนโลยีของทางบริษัทในนิวออร์ลีนส์ โดยมีการถ่ายทอดการสัมภาษณ์ครั้งนี้ไปบนอินเทอร์เน็ตด้วย "ใครจะไปรู้ว่ามันคืออะไรกันแน่? สำหรับผมน่ะรึ Chrome OS น่าสนใจเหลือเกิน" บอลเมอร์กล่าวอย่างระมัดระวังในคำพูด แต่ก็สร้างความรู้สึกขบขันให้กับผู้ร่วมประชุมที่โปรไมโครซอฟท์ได้เป็นอย่าง ดี




" มันจะไม่เกิดขึ้นในช่วงปีถึงปีครึ่ง และพวกเขาก็ได้ประกาศเปิดตัวระบบปฏิบัติการไปแล้ว" เขากล่าวเสริม โดยอ้างอิงถึงระบบปฏิบัติการแอนดรอย์ (Android) ของกูเกิ้ลที่ใช้บนสมาร์ทโฟน (และบริษัทผู้ผลิตเน็ตบุ๊ก) ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กูเกิ้ลประกาศว่า ทางบริษัทได้กำลังพัฒนาระบบปฏิบัติการที่เป็นการต่อยอดจากบราวเซอร์ Chrome โดยตั้งเป้าชนธุรกิจหลักของไมโครซอฟท์โดยตรง บริษัทซอฟต์แวร์ทีใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีระบบปฏิบัติการ Windows ที่ทำงานอยู่บนคอมพิวเตอร์ทั่วโลกมากกว่า 90%

แผนของกูเกิ้ลตั้งอยู่ บนรากฐานความคิดที่ว่า การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดสำหรับอุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ (ไม่ใช่การคิดอ่าน และทำอะไรอยู่ภายในเครื่องเพียงอย่างเดียว) โดยเป็นโอเอสคนละแพลตฟอร์มไม่เกี่ยวกับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ที่ทำงานบน สมาร์ทโฟน และเน็ตบุ๊ก ซึ่งระบบปฏิบัติการดังกล่าวได้มีการเปิดตัวไปแล้วก่อนหน้านี้

" ผมไม่รู้ว่า พวกเขา(กูเกิ้ล)ตัดสินใจกันไม่ได้ หรือไงว่า มันมีปัญหาอะไร แต่เท่าที่ผมตรวจสอบล่าสุด คุณไม่จำเป็นต้องมีระบบปฏิบัติการบนไคลเอ็นต์ถึงสองตัว" บอลเมอร์ กล่าว "ผมว่ามีตัวเดียว(windows) ดีกว่า" ในขณะที่โทนของการให้สัมภาษณ์ต่อสาธารณะในครั้งนี้ของบอลเมอร์จะดูสนุกสนาน แต่ในความเป็นจริง ไมโครซอฟท์กำลังให้ความสำคัญกับการท้าทายของกูเกิ้ลอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเสิร์ชเอ็นจิ้นใหม่อย่าง Bing ที่จะต้องช่วงชิงส่วนแบ่งจากกูเกิ้ลทีเป็นผู้นำตลาดมาให้ได้ ในขณะเดียวกัน เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์ยังเพิ่งประกาศให้บริการแอพพลิเคชัน Office บนอินเทอร์เน็ตฟรี เพื่อชนกับ Google Docs แอพพลิเคชันออนไลน์ที่เปิดให้บริการฟรี

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ บอลเมอร์ ได้เคยกล่าวเยาะเย้ย iPhone ของ Apple ว่า มันไม่สำเร็จหรอก เพราะแพงเกินไป แต่ถึงวันนี้ก็คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ไอโฟนได้เป็นเจ้าของส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่ของสมาร์ทโฟนไปเรียบร้อยแล้ว




ระวัง!!! ช่องโหว่ร้ายแรงใน Firefox 3.5

รายงานข่าวจากบล็อกซีดีเน็ตระบุว่า พบช่องโหว่ร้ายแรงสูงสุด (Highly Critical) ในบราวเซอร์ไฟร์ฟอกซ์ 3.5 (Firefox 3.5) โดยมีการปล่อยโค้ดอันตรายที่ใช้ช่องโหว่ดังกล่าวออกมาแล้วเมื่อวันจันทร์ที่ ผ่านมา ทางด้านโมซิลล่า (Mozilla) กำลังอยู่ในระหว่างการเร่งแก้ไขข้อบกพร่องของการทำงานดังกล่าว

หน่วยงานแจ้งเตือนภาวะฉุกเฉินของ ระบบคอมพิวเตอร์ในสหรัฐ (US-CERT) ประกาศเตือนเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า พบช่องโหว่ในบราวเซอร์ไฟร์ฟอกซ์ 3.5 ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้บุกรุกสามารถสั่งรันโค้ดอันตรายในเครื่องคอมพิวเตอร์ ผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้ ทั้งนี้โค้ดโปรแกรมที่พิสูจน์ทราบการใช้ช่องโหว่ดังกล่าวได้ถูกโพสต์ขึ้นไป บนเน็ตเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาในเว็บไซต์ Milw0rm.com และดูเหมือนว่า มันเริ่มมีการโจมตีด้วยช่องโหว่นี้แล้ว



ช่อง โหว่ดังกล่าวถูกพบโดย Simon Berry-Byrne ซึ่งเปิดเผยว่า มันเกี่ยวข้องกับวิธีการทำงานของ JavaScript ใน Firefox 3.5 ทางด้านโมซิลล่าได้รับทราบช่องโหว่ดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกำลังทดสอบการแก้ไขช่องโหว่ดังกล่าว "สำหรับการใช้ช่องโหว่นี้ ผู้บุกรุกจะหลอกให้เหยื่อเข้าไปเยี่ยมชมเว็บเพจที่ฝังโค้ดอันตรายไว้ อย่างไรก็ตาม ช่องโหว่ดังกล่าว สามารถป้องกันในเบื้องต้นได้ด้วยการยกเลิก JIT ในกลไกการทำงานของ JavaScript ซึ่งขั้นตอนมีดังนี้

  1. เปิด Firefox 3.5 ในช่อง location พิมพ์คำสั่ง about:config
  2. พิมพ์คำว่า jit เข้าไปในช่อง Filter ที่อยู่ด้านบนของส่วนแก้ไขคอนฟิก
  3. ดับเบิ้ลคลิ้กบนบรรทัดที่มีข้อความว่า "javascript.options.jit.content" เพื่อตั้งค่าให้เป็น False

อีกวิธีหนึ่งก็คือ ติดตั้ง NoScript plug-in ซึ่งจะยกเลิก (disable) การทำงานของ javaScript ทั้งหมดในบราวเซอร์

Secunia บริษัทผู้เชี่ยวชาญระบบรักษาความปลอดภัยในเดนมาร์ก จัดระดับความรุนแรงของช่องโหว่นี้เป็น "Highly Critical" พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตว่า Firefox เวอร์ชันเก่าอาจจะได้รับผลกระทบจากช่องโหว่นี้ด้วย ส่วนทางด้านบริษัท F-Secure ในฟินแลนด์ กล่าวว่า Exploit Shield ซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยของตนสามารถป้องกันการใช้ช่องโหว่นี้ได้


Kindle 2 ออกแบบมีปัญหา"เสียง่าย"?

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า แม้แอมะซอน (Amazon) จะได้ชื่อว่า เป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการลูกค้าได้อย่างเยี่ยมยอด แต่ล่าสุดกลับถูกฟ้องร้องเป็นคดีที่อาจจะต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับลูกค้าถึง 5 ล้านเหรียญฯ หากแพ้ในคดีนี้ ด้วยเหตุผลเพียงแค่ไม่ยอมเปลี่ยน Kindle 2 ที่ลูกค้าอ้างว่า มันเกิดความเสียหายเนื่องจากปกใส่กันกระแทก (protective case) ราคา 30 เหรียญฯ (ประมาณ 1,100 บาท) ที่ออกแบบและจำหน่ายโดยแอมะซอนเอง

Matthew Geise ผู้อำนวยการบริษัทบริหารทรัพย์สินในซีแอตเติล และภรรยาของเขา Alisa Brodkowitz เป็นผู้ฟ้องร้องแอมะซอนในครั้งนี้ โดยเรื่องของเรื่องก็คือ Kindle 2 ของ Brodkowitz ที่เธอได้รับเป็นของขวัญจากสามี หลังจากใช้งานได้ไม่ถึงสามเดือน ก็เกิดมีรอยแตกร้าวด้านข้างของ Kindle 2 โดยเฉพาะบริเวณที่ยึดติดกับปกด้วยคลิปโลหะ หลังจากนั้นหน้าจอของมันก็ค้าง และไม่ทำงานอีกต่อไป ซึ่งในส่วนของรีวิว เจ้าของ Kindle หลายคนก็มีการบ่นเรื่องการแตกร้าวบริเวณรอบๆ ที่ยึดตัวเครื่องเข้ากับปกกันกระแทก



ภาพจุดแตกร้าวทีเกิดขึ้นกับ Kindle 2 เนื่องจากซองปกที่ใส่กันกระแทก (ภาพข่าวจากเว็บไซต์ cnet.com)

Brodkowitz ได้คุยกับแผนกบริการลูกค้าของแอมะซอน กลับได้รับคำตอบว่า กรณีที่หน้าจอหยุดนิ่งเนื่องจากซองปกกันกระแทกถือว่า อยู่ในประกัน แต่ไม่รวมการแตกหักที่เกิดขึ้น ซึ่งตัวแทนยังอ้างอีกด้วยว่า ความเสียหายดังกล่าวอาจเกิดจากการเปิดใช้งานที่ไม่เหมาะสม (เปิดผิดด้าน) ของผู้ใช้เอง โดยกรณีความเสียหายจากการแตกร้าวจะต้องเสียค่าบริการซ่อม 200 เหรียญฯ (ประมาณ 7,200 บาท)

แทนที่สองสามีภรรยาจะจ่ายค่าซ่อม เพื่อให้ได้ Kindle 2 ที่สมบูรณ์กลับมา พวกเขาตัดสินใจยื่นฟ้องต่อศาล ในกรณีที่แผนกบริการของแอมะซอนได้บอกกับพวกเขาว่า การแตกหักของ Kindle 2 เป็น"ปัญหาที่พบได้โดยทั่วไป" ซึ่งเจ้าของเครื่องจะต้องจ่ายค่าบริการซ่อม 200 เหรียญฯ โดย Brodkowitz กล่าวว่า เธอไม่เคยเปิดปกจากด้านหลัง(ที่เครื่องยืดติดอยู่)จนอาจทำให้ตัวเครื่องบิด งอและเกิดความเสียหายแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้อาจจะเกิดจากการออกแบบ Kindle 2 ที่ผิดพลาด (ความแข็งแรง) ก็ได้ แต่คงไม่ใช่คำตอบที่ว่า มันเป็น common problem ที่จะเกิดขึ้นกับแก็ดเจ็ตพกพาอย่างแน่นอน


MS เตรียมเปิดร้านติดกับ Apple Store

[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] ถ้าคุณเป็นแอปเปิ้ล (Apple) คงไม่อยากอยู่ใกล้เพื่อนบ้านที่ชื่อว่า ไมโครซอฟท์ (Microsoft) เป็นแน่ เรื่องราวข่าวนี้เปิดเผยโดยเว็บไซต์ appleinsider ซึ่งระบุว่า ไมโครซอฟท์กำลังมีแผนที่จะเปิดร้านค้าปลีกถัดจากคู่แข่งรายสำคัญอย่าง แอปเปิ้ล

ในงานประชุมคู่ค้าทั่วโลก (Worldwide Partner Conference) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของไมโครซอฟท์ Kevin Turner กล่าวกับคู่ค้าพันธมิตรที่มาร่วมประชุมว่า ทางบริษัทกำลังมีแผนที่จะเปิดร้านค้าปลีกแห่งแรกถัดจากร้านของแอปเปิ้ล โดย Turner กล่าวว่า ร้านของไมโครซอฟท์จะไม่ล้อเลียนด้วยการตกแต่งให้มีสีขาว (สีหลักของแอปเปิ้ล) แต่จะเน้นการใส่นวตกรรมเข้าไปในร้านใหม่มากกว่า อย่างไรก็ตาม ไม่มีรายละเอียดทีชัดเจนว่า ร้านของไมโครซอฟท์จะมีหน้าตา สีสัน และบรรยากาศเป็นอย่างไร?



" เมื่อเราได้ภาพกลยุทธ์ที่ชัดเจนก็พบว่า สถานที่ตั้งร้านที่ดีที่สุดของเราก็คือ บริเวณใกล้ๆ ร้านของแอปเปิ้ลนั่นเอง"ตัวแทนของไมโครซอฟท์กล่าวกับทางซีดีเน็ต "เรากำลังอยู่ในระหว่างการเร่งดำเนินการเปิดร้านให้ได้ทันในช่วงไตรมาสที่ สามนี้ อย่างไรก็ตาม เรายังไม่สามารถให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวร้านได้ในขณะนี้"

Retail Experience Center ของ Microsoft ตั้งอยู่ใน Redmond อาจจะป็นต้นแบบของร้านค้าปลีกทีกำลังจะเปิดก็เป็นได้

มัน ไม่ชัดเจนว่า ร้านค้าปลีกของไมโครซอฟท์จะจำหน่ายเฉพาะฮาร์ดแวร์อย่างเช่น Zune หรือ Xbox 360 เป็นต้น และซอฟต์แวร์ของทางบริษัท หรือจะจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากบริษัทผู้ผลิตสินค้ารายอื่นๆ ของคู่ค้าด้วย ก่อนหน้านี้ไมโครซอฟท์เคยเปิดเผยว่า บริษัทมีความตั้งใจจะเปิดร้าน เพื่อสร้างแบรนด์ของบริษัทด้วยการเชื่อมต่อกับลูกค้าผ่านหน้าร้านโดยตรง (ขายประสบการณ์ไปพร้อมกับสินค้าและบริการ) อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไมโครซอฟท์ใช้กลยุทธ์เปิดศึกท้ารบแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน กับแอปเปิ้ล เพราะเมื่อไม่นานมานี้ คงจะจำโฆษณาชุด "I am a PC" ซึ่งสถานที่ถ่ายทำยังใช้บริเวณที่จอดรถด้านนอกของ Apple Store ในเบอร์มิงแฮม ที่ประเทศอังกฤษ

(*Update*) Kevin Turner ยังกล่าวในงานนี้อีกด้วยว่า ได้รับสายจากฝ่ายกฎหมายของ Apple ว่า ต้องการให้เขาดึงโฆษณาชุด "Laptop Hunter" ออกไป ซึ่งเขาปฏิเสธ พร้อมทั้งถามกลับไปว่า "Is this a joke? Who are you?" ยังไซะ เขาก็ไม่มีวันดึงโฆษณาชิ้นนี้ออกไปอย่างแน่นอน แม้เสียงในสายจะบอกว่า Apple ลดราคาเครื่อง(บางรุ่น)ลงไปเป็น 100 เหรียญฯแล้ว แสดงว่า โฆษณาชุดดังกล่าวประสบความสำเร็จ อย่างน้อยก็ทำให้แอปเปิ้ลรู้สึกไม่พอใจ :p